News

รัฐอัดฉีดงบเร่งด่วน แก้ไขปัญหาน้ำ เสริมความมั่นคงพื้นที่ภาคตะวันออก

04/02/2021

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ระดมความร่วมมือทุกภาคส่วนให้ตื่นตัวใช้น้ำให้เกิดศักยภาพ แก้แล้งปี’63 พร้อมเดินหน้าทำแผนผังน้ำเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำ ภาคตะวันออก คณะกรรมการลุ่มน้ำ ทำแผนป้องกันน้ำท่วม-แล้ง รับมือภัยแล้งปี’64 ในพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หลังรัฐอัดฉีดงบกลางเร่งด่วนช่วยเสริมความมั่นคงน้ำ ภาคตะวันออก


ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) พร้อมคณะ ได้เดินทางมาติดตามความก้าวหน้า การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำ ณ อ่างเก็บน้ำคลองหลวง รัชชโลทร อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี เพื่อรับมือภัยแล้งปี’64 ในพื้นที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พร้อมติดตามความก้าวหน้าการจัดทำผังน้ำลุ่มน้ำบางปะกง ซึ่งการลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ รวมถึงความก้าวหน้าโครงการเร่งด่วนในการป้องกันผลกระทบจากสถานการณ์แล้งและเก็บกักน้ำฤดูฝน อีกทั้งติดตามความก้าวหน้าโครงการพัฒนาแหล่งน้ำรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)


ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ กล่าวว่า เรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำพื้นที่ภาคตะวันออก พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญเร่งด่วน จึงได้มอบหมายให้ สทนช.เร่งรัดติดตามแผนงานโครงการต่างๆ เป็น 3 ระยะคือระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว รวมถึงการบูรณการความร่วมมือกับภาครัฐในมาตรการประหยัดน้ำในทุกภาคส่วนทั้งภาคเกษตร พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม รองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตลอดจนการติดตามแนวโน้มความต้องการใช้น้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่องด้วย จากการสำรวจสถานการณ์น้ำในช่วงฤดูแล้งปีนี้ของภาคตะวันออกขณะนี้ พบว่า มีปริมาณน้ำรวม 1,928 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 62% ของปริมาณน้ำทั้งหมดในภาคตะวันออก หรือคิดเป็นน้ำใช้การได้ 1,777 ล้านลูกบาศก์เมตร


ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำมากกว่าปี 2563 จำนวน 303 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้สถานการณ์ปีนี้ไม่น่ากังวล เพราะกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.)ได้ระดมความคิดเห็นจากหลายหน่วยงาน ในการบริหารจัดการน้ำทั้งในฤดูแล้ง และฤดูฝน ส่งผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีโครงการต่างๆ ที่รัฐบาลได้อนุมัติงบกลางในเชิงป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำเก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝนปี’63 รวมทั้งสิ้น 1,451 แห่ง ดำเนินการโดย 10 หน่วยงาน มีความก้าวหน้ากว่า 90% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในเดือนมีนาคม 2564 นี้ โดยเฉพาะ การขุดลอกแหล่งน้ำเดิม ขุดบ่อบาดาล ซ่อมแซมระบบประปา เพื่อเติมเต็มให้กับชุมชนได้เข้าถึงแหล่งน้ำได้ครอบคลุมมากขึ้น


นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุง พัฒนาโครงการชลประทานขนาดใหญ่ที่มีอยู่เดิม เช่นที่ โครงการอ่างเก็บน้ำคลองหลวง รัชชโลทรฯ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระราชทานแนวพระราชดำริจัดสร้างเพื่อช่วยเหลือประชาชน ในปีที่ผ่านมา อ่างเก็บน้ำแห่งนี้เป็นหนึ่งในโครงการที่ได้รับจัดสรรงบกลางเร่งด่วน (มติ ครม.17 มี.ค.63) เพื่อดำเนินการขุดลอกคลองหลวง และติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวงฯ ไปช่วยเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี ในการสนับสนุนการอุปโภค – บริโภคให้กับประชาชนในพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากวิกฤติภัยแล้งในปีที่ผ่านมาได้ ซึ่งมีแผนที่จะสนับสนุนน้ำอย่างต่อเนื่องในปีนี้ด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกัน อ่างเก็บน้ำคลองหลวงฯ ยังอยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มระดับเก็บกักทำให้การใช้น้ำมีความมั่นคงเพิ่มขึ้น โดยติดตั้งฝายพับได้สูง 1 เมตร ตลอดความยาวสันฝายของอาคารระบายน้ำล้น ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเก็บน้ำเพิ่มขึ้น 27 ล้าน ลบ.ม. รวมเก็บน้ำได้ 125 ล้าน ลบ.ม. ทั้งยังเพิ่มพื้นที่ชลประทานเป็น 70,000 ไร่ คาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูฝนปีนี้ด้วย
ดร.สมเกียรติ ยังกล่าวอีกว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้ สทนช. วางแผนการดำเนินงานในเชิงป้องกันโดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำแล้วเพื่อสร้างความมั่นคงน้ำในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ระยะยาว มีแผนขับเคลื่อนตั้งแต่ ปี 2563 -2580 รวม 38 โครงการ ซึ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำต้นทุนในพื้นที่แหล่งน้ำนอกลุ่มน้ำ แหล่งน้ำผิวดิน น้ำบาดาล รวมถึงพัฒนาน้ำจืดจากน้ำทะเล โดยคำนึงถึงความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศมาใช้ในการพัฒนาโครงการด้วย ขณะนี้ดำเนินการแล้วเสร็จ 4 โครงการ ได้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น 46.47 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ 13 โครงการจะแล้วเสร็จภายในปี 2567 คิดเป็นปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอีก 216.32 ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับโครงการที่เหลือเป็นแผนการดำเนินการในระยะต่อไป
นอกจากนั้น สทนช.ในฐานะตัวแทนประเทศไทยยังมีความร่วมมือกับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) สภาน้ำแห่งเอเชีย (AWC) และกระทรวงสิ่งแวดล้อมแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (MoE) ในการดำเนินการศึกษาเชิงนโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทย ในรูปแบบการหารือระดับประเทศด้านน้ำในประเทศไทย โดยเน้นด้านการบริหารจัดการความต้องการใช้น้ำในเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และในพื้นที่ EEC นี้ สทนช. ยังอยู่ในระหว่างดำเนินการศึกษาเพื่อจัดระบบเส้นทางน้ำหรือผังน้ำ ซึ่งเป็นอีกภารกิจสำคัญที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2561 และ สทนช.ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยดำเนินการคัดเลือกลุ่มน้ำบางปะกงขึ้นมาศึกษาเป็นลำดับแรก เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC ซึ่งต้องมีการจัดสรรน้ำให้เหมาะสมกับทุกลุ่มผู้ใช้น้ำ และเป็นพื้นที่เป้าหมายที่ต้องมีการควบคุมภาพน้ำเพื่อช่วยประหยัดปริมาณน้ำจากแหล่งน้ำต้นทุนที่ใช้สำหรับผลักดันน้ำเค็ม ปัจจุบันได้มีการสำรวจภาพตัดลำน้ำ และวิเคราะห์ด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อหาพื้นที่เสี่ยง ควบคู่กับการลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นเป็นระยะ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้
ผังน้ำที่จะได้รับจากการศึกษาครั้งนี้จะใช้นำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในฤดูฝน โดยการประเมินศักยภาพของลำน้ำ การเชื่อมโยงโครงข่ายน้ำและทิศทางการไหลของน้ำ เพื่อให้การระบายน้ำไม่เกิดผลกระทบต่อประชาชน ส่วนในฤดูแล้งก็สามารถประเมินปริมาณน้ำที่จะเก็บกักไว้แหล่งน้ำต่างๆ ให้บริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพต่อไป โดยคณะกรรมการลุ่มน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดินจากผังน้ำมาสนับสนุนการจัดทำแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำท่วมและแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง ตามที่ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 กำหนดไว้ นอกจากนั้นยังสามารถนำข้อมูลจากผังน้ำมาใช้ประกอบการวางแผนพัฒนาโครงการแหล่งน้ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
………………………………………….

No Comments

    Leave a Reply