News

กรมชลฯ พร้อมรับมือฝนตกใต้ตอนล่าง

05/11/2022

วันนี้ (5 พ.ย.65) ที่จังหวัดสงขลา นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน พร้อมด้วย นายวิทยา แก้วมี ผู้อำนวยการกองแผนงาน ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยมี นายการุณ แปลงรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 16 และผู้เกี่ยวข้อง สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมและการเตรียมความพร้อมตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2565 ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาระโนด-กระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา

นายประพิศ จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า สถานการณ์ฝนในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างในเขตสำนักงานชลประทานที่ 16 (จังหวัดสงขลา พัทลุง ตรัง และสตูล) ภาพรวมในปี 2565 นี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติประมาณ 27% ส่วนสถานการณ์น้ำท่าในลุ่มน้ำหลัก ได้แก่ ลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา คลองนาท่อม คลองปะเหลียน แม่น้ำตรัง คลองดุสน และคลองละงู ระดับน้ำยังต่ำกว่าตลิ่ง กรมชลประทาน ได้เตรียมแผนรับมือสถานการณ์อุทกภัย โดยเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในพื้นที่
-จ.สงขลา ได้แก่ พื้นที่เศรษฐกิจเทศบาลนครหาดใหญ่ ชุมชนริมคลองธรรมชาติ อ.หาดใหญ่ และบริเวณคาบสมุทรสทิงพระ
-จ.พัทลุง ได้แก่ อ.ศรีบรรพต อ.เขาชัยสน และบริเวณขอบทะเลสาบ อ.เมือง
-จ.ตรัง ได้แก่ อ.เมือง ตลาดนาโยง อ.นาโยง และตลาดเทศบาลตำบลย่านตาขาว อ.ย่านตาขาว
-จ.สตูล ได้แก่ อ.เมือง และ อ.ละงู

ทั้งนี้ ได้กำชับให้ปฏิบัติตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2565 อย่างเคร่งครัด ตรวจสอบความมั่นคงของเขื่อน อาคารชลประทาน และคันกั้นน้ำต่าง ๆ ให้มีความพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ บริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำฝนในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งเตรียมพร้อมเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ รถขุด เป็นต้น รวม 247 หน่วย ที่จะสามารถเข้าไปช่วยเหลือและลดผลกระทบสถานการณ์อุทกภัยได้ทันท่วงที ปัจจุบันได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำประจำจุดพื้นที่เสี่ยงแล้วรวม 36 เครื่อง จากแผน 128 เครื่อง ที่สำคัญได้เน้นย้ำให้กำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคในการระบายน้ำช่วงน้ำหลาก รวมไปถึงการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์สถานการณ์น้ำ แนวทางในการบริหารจัดการน้ำให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบอย่างต่อเนื่องด้วย

นอกจากนี้ ยังได้วางแผนปรับปรุงระบบชลประทานในพื้นที่ ที่มีอายุการใช้งานมานานแล้ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างเต็มศักยภาพ สามารถเพิ่มแหล่งน้ำต้นทุนและพื้นที่ชลประทานได้มากขึ้น เกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เกษตรกร และกลุ่มผู้ใช้น้ำ รวมทั้งสามารถสนับสนุนทุกกิจกรรมการใช้น้ำได้อย่างเพียงพอและยั่งยืนต่อไปในอนาคต

No Comments

    Leave a Reply