PR NEWS

รู้หรือเปล่า … น้ำมันหมู ติดอันดับท็อปเท็น อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดในโลก

28/08/2018
เราคงคุ้นเคยกันดีกับคำแนะนำให้เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เพื่อให้สุขภาพดี แข็งแรง และตามหลักของการรับประทานอาหาร 5 หมู่ น้ำมัน เป็นอาหารที่ควรรับประทานในสัดส่วนน้อยที่สุด แต่ผลงานศึกษาวิจัยของสำนักข่าว BBC แห่งอังกฤษ ได้สร้างความแปลกใจว่า “น้ำมันหมู” ได้ติดท็อปเท็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่สุดในโลกด้วย  ​
 ​
เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักข่าว BBC ได้เผยแพร่ผลการศึกษาวิจัย 100 อันดับ อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดในโลก (The World’s Most Nutritious Food) ทางเว็บไซต์ โดยบอกว่า ข้อมูลดังกล่าวมาจากการศึกษาวิจัยอาหารวัตถุดิบมากกว่า 1,000 ชนิดทั่วโลก เพื่อนำมาจัดอันดับวัตถุดิบที่ใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารที่มีคุณค่าโภชนาการ เป็นแนวทางให้ผู้บริโภคได้มีความรู้ในการคัดสรรอาหารช่วยสร้างความสมดุลให้กับความต้องการด้านโภชนาการของตัว และผลการจัดอันดับที่ออกมา อาหารหลายอย่างไม่ทำให้เราแปลกใจ เพราะมีการบอกกล่าวกันอย่างมากมายว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพอยู่แล้ว และเชื่อหรือไม่ว่า “น้ำมันหมู” ได้คะแนนะอยู่ในอันดับ 8 ของ 100 อันดับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการดีที่สุดในโลก ​
 ​
น้ำมันหมู เป็น หนึ่งเดียวของอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์สีแดง ติดอยู่ใน 10 ลำดับสูงสุดใน The World’s Most Nutritious Foods ที่ BCC และเหตุผลที่ น้ำมันหมู ได้คะแนนทางคุณค่าทางโภชนาการสูงถึง 73 คะแนน เพราะอุดมด้วยวิตามินบี และแร่ธาตุหลายชนิด น้ำมันหมูมีปริมาณไขมันไม่อิ่มตัว และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าไขมันจากแกะ หรือเนื้อวัว  ​
อาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุดในโลก ได้แก่ “อัลมอนด์” นักวิจัยระบุว่า อัลมอนด์อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ในด้านสุขภาพ กรดไขมันไม่อิ่มตัวนี้มีคุณสมบัติในการลดระดับของคอเลสเตอรอล ได้คะแนนเกือบ 97 เต็ม 100 ส่วนอันดับที่ 2) คือ Cherimoya เป็นผลไม้มหัศจรรย์ของชาวอินคา มีเนื้อเป็นครีม บางที่เรียกว่า คัสตาร์ทแอ๊ปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่มีวิตามินเอ ซี บี1 บี2 และโปแตสเซี่ยม ได้คะแนน 96 เต็ม 100 ต่อมาอันดับ 3) คือ Ocean perch คือ ปลาสีแดง คล้ายปลากะพง แต่อยู่ในทะเลแอตแลนติกเหนือ  ​
อันดับ 4) ปลาลิ้นหมา อันดับ 5) เมล็ดเจีย อันดับ 6) เมล็ดฟักทอง อันดับ 7) ผักกาดก้านแดง (Swiss chard) อันดับ 8) น้ำมันหมู อันดับ 9 ใบบีท (Beets green) และอันดับ 10 ปลากะพง  ​
 ​
นอกจาก BBC ที่ให้คะแนนด้านโภชนาการกับน้ำมันหมูแล้ว ยังมีคำยืนยันจากนักวิชาการถึงประโยชน์ของน้ำมันหมูที่เป็นอาหารพื้นบ้าน ที่ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม น่ารับประทาน อย่าง ผศ. ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เคยชี้แจงว่า จากการทดลองพบว่า น้ำมันหมูมีคอเลสเตอรอล 9 มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนโต๊ะ ซึ่งหากในแต่ละวันเราใช้น้ำมันหมูประกอบอาหารในปริมาณไม่มาก ร่างกายก็อาจจะได้รับคอเลสเตอรอลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระดับที่ไม่มีผลต่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือด  ​
 ​
รวมทั้ง ดร.ศิริมา พ่วงประพันธ์ ภาควิชาเทคโนโลยีทางอาหาร คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังกล่าวบอกว่า น้ำมันหมู เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการปรุงอาหาร เพราะมีจุดเด่นช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม น่ารับประทานกว่าอาหารที่ทอดด้วยน้ำมันพืช มีกรดไขมันอิ่มตัวพอเหมาะสำหรับการทอดที่ใช้อุณหภูมิสูง และยังได้ประโยชน์จากกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล พร้อมทั้งแนะว่าควรรับประทานอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันชนิดอื่นสลับไปด้วย อย่างเช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันงา และน้ำมันมะกอก เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน  ​
 ​
ดร.ศิริมา ยังฝากคำแนะนำสำหรับผู้บริโภค การใช้น้ำมันไม่ว่าจะเป็นประเภทใด สิ่งที่ผู้บริโภคต้องพึงคำนึงมากที่สุด คือ การใช้น้ำมันที่ใช้แล้วกลับมาใช้ซ้ำ มากกว่า เพราะส่งผลเสียต่อสุขภาพอย่างมาก มีความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคมะเร็งในตับและปอด ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารทอดที่มีควันมากๆ หรือ น้ำมันมีกลิ่นหืน ใช้ซ้ำหลายครั้ง  ​
และที่สำคัญ ทุกคนควรรับประทานอาหารหลากหลาย ให้ครบ 5 หมู่ และไม่รับประทานอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป เพื่อให้ได้รับสารอาหารมีคุณค่าโภชนาการ ครบถ้วน และอย่างสมดุล  ​
 ​

สำหรับผู้ที่สนใจ 100 อาหารที่มีคุณค่าโภชนาการสูงสุดในโลก สามารถเปิดเข้าไปดูได้ที่http://www.bbc.com/future/story/20180126-the-100-most-nutritious-foods./

No Comments

    Leave a Reply